Kyoto Trip in Japan

สวัสดีค่ะ ใครกำลังจะไป Kyoto ยกมือขึ้น !!!

วันนี้แอดมินจะพาทุกคนไปสัมผัสความงามของเมือง Kyoto ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นมานานนับพันปี ที่เมือง Kyoto แห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวและวัดวาอารามที่สวยงามหลายแห่งที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ นิกาย Zen นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่เป็นต้นกำเนิดของศิลปะการแสดงที่ชื่อว่า Kabuki อีกด้วย ในแง่ของความงดงามตามธรรมชาติ ทุกๆ ปีช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (ประมาณเดือนตุลาคม – ต้นเดือนธันวาคม) ทั่วทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง แสด เหลือง ทอง สวยงามละลานตาไปหมด วันนี้เราได้รวมรวบภาพจากผู้บริหารที่เดินทางไปร่วมงาน International Meeting ประจำปีที่ประเทศญี่ปุ่น (ตามอ่านย้อนหลังได้ที่ Uniadex & Netmarks International Meeting 2023) และได้มีโอกาสเยี่ยมเยือนสถานที่สำคัญต่างๆ ในเมือง Kyoto มาให้ได้ชมกัน พร้อมเรื่องราวต่างๆที่น่าติดตาม สำหรับใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีในปีต่อๆ ไป ก็ถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะได้เวลาไปเยี่ยมชมความงดงามสุดๆ ของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีด้วยตัวเองนะคะ

Trip Kyoto ในครั้งนี้เราจะเริ่มกันที่แม่น้ำ Kamo (หรือ Kamogawa ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมือง Kyoto โดยในฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ที่นี่จะเป็นหนึ่งในจุดชมดอกซากุระยอดนิยมของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว เพราะสองข้างทางของแม่น้ำจะกลายเป็นสีขมพูจากการผลิบานของดอกซากุระ และเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ใบไม้ที่นี่ก็จะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีแดงอย่างงดงาม ทำให้เป็นจุดชมวิวที่ชาวเมืองต่างภาคภูมิใจในความงดงามตลอดทั้งปี

(เกร็ดความรู้ ในภาษาญี่ปุ่นคำว่า Kawa = River = แม่น้ำ พอมารวมกับชื่อ Kamo ทำให้มีการผันเสียงจาก Kawa เป็น Gawa และเมื่อรวมกันแล้วก็กลายเป็น Kamogawa นั่นเอง)

พอเราเดินข้ามสะพานมาที่อีกฝั่งของแม่น้ำ เราจะพบรูปอนุสาวรีย์ของ Izumo no Okuni ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Kabuki เพราะเธอได้นำเสนอการการแสดงที่เรียกว่า Kabuki Dance ริมแม่น้ำ Kamo ในปี ค.ศ.1603 ดังนั้นในปี ค.ศ. 2003 ที่ผ่านมาจึงได้มีการเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีของการแสดง Kabuki ที่เมือง Kyoto

ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ของ Izumo no Okuni เราจะได้พบกับ Minami-za ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงละคร Kabuki ที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น

จากนั้นเราก็ได้เดินชื่นชมความงามท่ามกลางบรรยากาศอันมีเสน่ห์ของบ้านเรือนเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่นโบราณอย่างแท้จริงในย่านกิอง (Gion street) โดยในย่านนี้เราอาจจะได้พบกับเกอิชา (Geisha) ซึ่งเป็นหญิงสาวที่มีความขำนาญทางศิลปะและทำหน้าที่ดูแลแขกในร้านน้ำชา ซึ่งเป็นอาชีพที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ

 ใน Trip นี้เราได้เดินผ่านโซน Shirakawa ซึ่งจะเป็นถนนริมคลองเล็กๆ ที่น้ำใสสะอาดและเงียบสงบ นอกจากนี้เรายังได้แวะชมสะพานหิน Tatsumi และศาลเจ้า Tatsumi

ที่ศาลเจ้า Tatsumi มีเรื่องเล่าโบราณกันว่า ในอดีตบริเวณใกล้ๆ กับสะพานจะมีตัว Tanuki ซึ่งเป็นตัวแรคคูนญี่ปุ่น ที่คอยจู่โจมทำร้ายผู้ที่เดินผ่านไปมาบริเวณนั้นและทำให้ต้องตกน้ำลงไปในคลอง เพื่อที่จะหยุดปัญหานี้ ชาวบ้านจึงได้ตัดสินใจสร้างศาลเจ้าเล็กๆ ขึ้นมา และหลังจากนั้นเจ้า Tanuki ก็หยุดการจู่โจมทำร้ายผู้คนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

จากนั้นเราก็ได้เดินต่อมาที่ Hanamikoji street ซึ่งยังคงสภาพบ้านเรือนแบบญี่ปุ่นโบราณไว้

เดินทางมุ่งหน้าสู่วัด Kenninji ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นวัดนิกาย Zen ที่เก่าแก่ที่สุดใน Kyoto และยังเป็นแหล่งรวบรวมผลงานชิ้นสำคัญด้านศิลปะในสไตล์ญี่ปุ่น

ผลงานชิ้นสำคัญด้านศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ ฉากกั้นสีทองแบบบานพับ รูปเทพเจ้าแห่งลม (Fujin)
และเทพเจ้าแห่งสายฟ้า (Raijin)

รูปซ้ายคือรูปเทพเจ้าแห่งสายฟ้า Raijin และ ขวาคือรูปเทพเจ้าแห่งลม  Fujin

รูปเทพเจ้าแห่งสายฟ้า Raijin

รูปเทพเจ้าแห่งลม  Fujin

อีกจุดหนึ่งที่ห้ามพลาด คือภาพจิตรกรรมลายมังกรคู่บนเพดานในศาลาธรรม (Dharma Hall) ซึ่งเป็นภาพอนุสรณ์ครบรอบ 800 ปีของการก่อตั้งวัด Kenninji

ภาพจิตรกรรมลายมังกรคู่บนเพดานในศาลาธรรม (Dharma Hall)

ภาพวาดลายมังกรบนบานประตูเลื่อนที่งดงามในห้องโถงอีกห้อง

ภาพวาดลายมังกรบนบานประตูเลื่อนที่งดงามในห้องโถงอีกห้อง

บรรยากาศในวัด Kenninji ที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีแดง บ้างแล้ว

นอกเหนือจากภาพวาดแล้ว ที่วัด Kenninji ยังมีชื่อเสียงเรื่องสวนหินที่งดงามในแบบ Zen ด้วย สวนแบบแห้งนี้เรียกว่า Kare Sansui ซึ่งประดับประดาไปด้วยต้นมอส หินและกรวดสีขาวที่ถูกคราดไว้อย่างงดงามเป็นเส้นลายคลื่น ซึ่งสื่อถึงมหาสมุทรที่มีเกาะต่างๆ ตั้งอยู่

นอกเหนือจากภาพวาดแล้ว ที่วัด Kenninji ยังมีชื่อเสียงเรื่องสวนหินที่งดงามในแบบ Zen ด้วย สวนแบบแห้งนี้เรียกว่า Kare Sansui ซึ่งประดับประดาไปด้วยต้นมอส หินและกรวดสีขาวที่ถูกคราดไว้อย่างงดงามเป็นเส้นลายคลื่น ซึ่งสื่อถึงมหาสมุทรที่มีเกาะต่างๆ ตั้งอยู่

โดยในวัด Kenninji ยังมีสวนหลักอีกสองสวนคือ สวน Maru Sankaku Shikaku ที่แปลว่าสวนวงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ซึ่งแนวความคิดเบื้องหลังของสวนนี้คือทุกสิ่่งในจักรวาลสามารถแสดงออกมาผ่านรูปทรงทั้งสามแบบนี้ได้นั่นเอง

อีกสวนนึงที่มีชื่อเสียงคือสวนโชองเท (Chou-On-Tei) ที่แปลว่าสวนแห่งเสียงคลื่น ซึ่งจะมีหิน San-zon-seki ที่ประกอบไปด้วยหินสามก้อนที่เปรียบดั่งเป็นพระพุทธรูปและพระภิกษุ Zen อีกสองรูป และหิน Zazen-seki คือหินสำหรับนั่งสมาธิ

ออกจากวัด Kennninji เราก็จะเดินผ่านศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) หรือบางคนอาจจะเรียกว่าศาลเจ้ากิอง
(Gion Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่มากๆ ของเมืองนี้เพราะมีอายุมากกว่า 1,300 ปีเลยทีเดียว จุดเด่นของที่นี่คือประตูทางเข้าศาลเจ้าจะมีสีสันที่โดดเด่นมากๆ

ภายในศาลเจ้าก็จะมีศาลาใหญ่ๆ อีก 2 แห่ง ตรงนี้คือศาลาหลักของศาลเจ้าซึ่งเป็นบริเวณที่ไว้สำหรับมาขอพร

ส่วนอีกฝั่งจะเป็นศาลาที่เป็นเวทีและมีการประดับประดาด้วยโคมไฟนับร้อย ยิ่งถ้าเป็นช่วงเย็นๆ ค่ำๆ จะมีการเปิดโคมไฟที่ทำให้ยิ่งงดงามมากเป็นพิเศษ

เดินมาชมความงามของธรรมชาติที่สวน Maruyama ที่อยู่ด้านหลังศาลเจ้า Yasaka สิ่งที่ทำให้สวนแห่งนี้เป็นจุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเพราะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระที่นี่จะบานสะพรั่งมากๆ แต่ตอนที่ไปเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง เลยได้บรรยากาศไปอีกแบบ

เป้าหมายต่อไปคือเราจะเดินทางไปวัด Kiyomizu หรือวัดน้ำใสแห่งเมือง Kyoto แต่ระหว่างทางเราจะผ่านเจดีย์ Yasaka (Yasaka Pagoda) ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นเก่าแก่

จากนั้นเราเดินผ่านเนิน Ninen-zaka และเนิน Sannen-zaka ซึ่งเป็นเนินขึ้นเขาที่ปูด้วยแผ่นหิน และสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกและขนมมากมาย

ในที่สุดเราก็ได้เดินทางมาถึงเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้คือวัด Kiyomizu

วัดนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง Kyoto และได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกด้วย
เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 1,200 ปี

เมื่อเราเดินผ่านซุ้มประตู Nio-mon ซึ่งเป็นซุ้มประตูทางเข้าหลักของวัด Kiyomizu แล้ว จะเข้ามาพบกับเจดีย์สีแดง 3 ชั้นขนาดใหญ่ ที่ตั้งสูงตระหง่าน 31 เมตรอย่างงดงามภายในวัด

ชื่อของวัด Kiyomizu นั้นมีความหมายว่า น้ำบริสุทธิ์ ซึ่งมีที่มาจากน้ำตก Otowa (Otowa Waterfall) ที่ไหลผ่านเนินเขาลงมายังบริเวณวัด โดยสายน้ำทั้ง 3 สายไหลลงมายังบ่อน้ำซึ่งจะอยู่ด้านล่างของศาลาวัด ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าหากใครได้ดื่มน้ำจากที่วัดแห่งนี้จะสมปรารถนาในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้ โดยสายน้ำแต่ละสายจะมีความศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกัน คือ สุขภาพ ความรัก และความสำเร็จในการศึกษา โดยปกติแล้วนักท่องเที่ยวก็จะดื่มน้ำทั้ง 3 สายรวมกันไปเลย

อีกจุดเด่นนึงของวัดแห่งนี้คืออาคารไม้หลังใหญ่หรืออาคารหลัก Hondo ที่โครงสร้างทำมาจากไม้ทั้งหมด สร้างด้วยวิธีการแบบโบราณของญี่ปุ่นที่เรียกว่า Kakezukuri คือการเอาไม้เข้าลิ่มโดยไม่ใช้ตะปูเลย ซึ่งอาคารนี้มีความสูงจากพื้นประมาณ 13 เมตร สร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา ทำให้สามารถชมวิวทิวทัศน์รอบๆ เมือง Kyoto ได้ ยิ่งถ้าเป็นช่วงดอกซากุระบานหรือใบไม้เปลี่ยนสีจะยิ่งงดงามากเป็นพิเศษอีกหลายเท่า

ในอดีตเคยมีการพนันกันว่าใครกระโดดลงจากระเบียงนี้ได้และรอดชีวิตจะได้เงินรางวัลจำนวนมาก ทำให้มีคนมาทดลองกระโดดกันมากมาย รอดก็มี ตายก็เยอะ จนกลายเป็นสุภาษิตญี่ปุ่นว่า 清水の舞台から飛び降りる ความหมายตามตัวคือ “การกระโดดลงจากระเบียงวัด Kiyomizu” เปรียบเหมือนการตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่างๆ ของชีวิต เพราะมีความเชื่อว่า หากผู้ใดสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วสามารถรอดชีวิตได้ ความปรารถนาของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล

อันที่จริงภายในวัดนี้ยังมีศาลเจ้า Jishu ที่เรียกกันว่าเป็นศาลเจ้าแห่งความรัก โดยภายในศาลเจ้าจะมีหินแห่งความรักอยู่ 2 ก้อนที่ตั้งห่างกันประมาณ 18 เมตร เชื่อกันว่าถ้าหลับตาแล้วสามารถเดินจากหินก้อนหนึ่งไปยังหินอีกก้อนหนึ่งได้ คนนั้นก็จะสมหวังในเรื่องความรัก น่าเสียดายตอนที่ไปกำลังปรับปรุงซ่อมแซมอยู่

ขอบคุณสำหรับการติดตามใน Trip นี้ ไว้พบกันใหม่ Trip หน้านะคะ สวัสดีค่ะ

Similar Posts