ปกป้องข้อมูลภายในองค์กรให้ปลอดภัยด้วย DLP (Data Loss Prevention) 

ปกป้องข้อมูลภายในองค์กรให้ปลอดภัยด้วย DLP (Data Loss Prevention) 


ปกป้องข้อมูลภายในองค์กรให้ปลอดภัยด้วย DLP (Data Loss Prevention)
 

ในโลกของธุรกิจ ข้อมูล หรือ Data นั้น มีความสำคัญเป็นอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ เพราะ Data นั้นมีผลต่อองค์กรทั้งในแง่ของการวิเคราะห์ข้อมูล, ช่วยในเรื่องของการตัดสินใจที่มีมูลค่า, การนำ Data เข้ามาช่วยในเรื่องของการปรับการดำเนินงาน, การเข้าถึงตลาด และการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ  ดังนั้น Data จึงเป็นอีกส่วนสำคัญสำหรับองค์กรที่จะต้องมีการป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วไหล หรือช่องโหว่ที่อาจทำให้เหล่าแฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึง Data ในส่วนต่างๆขององค์กรคุณได้ และนำมาสู่ภัยไซเบอร์หลายรูปแบบ เช่น การขโมยข้อมูลไปขาย, การโจรกรรมข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่, การ Blackmail รวมไปถึง การนำข้อมูลไปแอบอ้างตัวตน เป็นต้น 

บทความนี้แอดมินเลยอยากพาผู้อ่านทุกท่านมารู้จักกับ DLP (Data Loss Prevention) อีกหนึ่งโซลูชันสำหรับองค์กรที่กำลังมองหาโซลูชันที่จะสามารถปกป้อง Data ต่างๆ ภายในองค์กรของคุณกันค่ะว่า DLP คืออะไร มีความสามารถอย่างไร และองค์กรของคุณผู้อ่านจะสามารถปรับใช้โซลูชัน DLP กับภาคธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ไปอ่านกันต่อเลยดีกว่าค่ะ  

DLP คืออะไร? 

DLP หรือ Data Loss Prevention (ระบบป้องกันการสูญเสียข้อมูล) เป็นโปรแกรมที่รวมเอาเทคโนโลยี ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ กลยุทธ์ และกระบวนการทำงานเข้าด้วยกันเพื่อใช้ป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนขององค์กร เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการเงิน ข้อมูลที่เป็นส่วนตัว หรือข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กรหรือลูกค้าได้ จากการตรวจจับและควบคุมโดย DLP ซึ่งอาจเป็นการระบุและควบคุมการส่งออกข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการตรวจจับและป้องกันการคัดลอกข้อมูลไปยังอุปกรณ์พกพาหรือการส่งข้อมูลผ่านทางอีเมลหรือข้อความ นอกจากนี้ DLP ยังมีการตรวจสอบและควบคุมการเข้าถึงข้อมูลภายในองค์กรเพื่อป้องกันการสูญเสียและข้อมูลจากภัยคุกคามภายในได้อีกด้วยค่ะ  

DLP ทำงานอย่างไร? 

โซลูชัน DLP มีขั้นตอนการทำงานที่สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้  

1. การตรวจสอบและการจำแนกประเภทข้อมูล (Categorization and Detailed Data Inspection): ระบบ DLP จะทำการตรวจสอบและวิเคราะห์ และแยกประเภทข้อมูลต่างๆ เพื่อระบุความสำคัญ กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงและการส่งข้อมูลให้กับบุคคลต่างๆ รวมไปถึงการจัดลำดับความสำคัญและจำกัดสิทธิ์ในการรับ ส่ง และเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งติดตามการกระทำต่างๆ ที่เกิดกับข้อมูลได้นั่นเองค่ะ  ในขั้นตอนนี้ทางองค์กรสามารถเลือกได้ว่าข้อมูลประเภทไหนจะมีการดำเนินการอย่างไร และมีความจำเป็นต้องป้องกันความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน 

2. การตรวจจับและการป้องกันการรั่วไหลข้อมูล (Detection and Prevention of Data Leakage): หลังจากที่มีการจำแนกประเภทของข้อมูลแล้ว ระบบ DLP จะตรวจสอบการใช้งานข้อมูลและการเคลื่อนย้ายข้อมูลภายในเครือข่ายหรือผ่านช่องทางอื่นๆ เพื่อตรวจจับการละเมิดและป้องกันการรั่วไหลข้อมูล ซึ่งโซลูชัน DLP นั้นจะคอยตรวจสอบทุกการเคลื่อนไหวของข้อมูลจากทุกช่องทาง ทั้งทางออนไลน์ เช่น Email, Application, Website, Social Media หรือ ช่องทางเซิร์ฟเวอร์ เช่น โปรแกรมหรือเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท, ช่องทางอุปกรณ์ต่างๆ (Endpoint) อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก และ USB เป็นต้นค่ะ  

3. การแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบ (System Administrator Notifications): โซลูชัน DLP จะทำการบล็อกการเคลื่อนย้ายข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือใช้การแจ้งเตือนผู้ดูแล ในกรณีที่พบการละเมิดข้อมูล หากพบว่ามีการกระทำเกินกว่าสิทธิ์ DLP จะทำการตรวจสอบและส่งการแจ้งเตือนการกระทำที่น่าสงสัยไปยังผู้มีหน้าที่ดูแลข้อมูล ซึ่งในที่นี้อาจเป็นคนหรือเป็นระบบ AI ที่ทำงานร่วมกัน  

4. การบันทึกและการรายงาน (Logging and Reporting): หากพบว่ามีพฤติกรรมการใช้ข้อมูลหรือ Data ที่ผิดปกติ ระบบจะทำการส่งแจ้งเตือนให้แก่ผู้ดูแล ให้ประเมินความเหมาะสมและสามารถเลือกที่จะอนุญาตให้เข้าถึง, ยกเลิกการเข้าถึง, บล็อกการเข้าถึง, ตรวจสอบ หรือขอข้อมูลยืนยันสิทธิ์ผู้ใช้งานได้ 

หลังจากนั้นระบบ DLP จะมีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานข้อมูลที่ผิดปกติเอาไว้ในรูปแบบของรายงาน ทำให้ทางองค์กรสามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อการปรับปรุงนโยบายความปลอดภัยของข้อมูลในองค์กรของคุณได้นั่นเองค่ะ  

ประโยชน์ของโซลูชัน DLP 

ประโยชน์ของ DLP มีตั้งแต่ความสามารถในการจัดประเภทและตรวจสอบข้อมูล รวมถึงการปรับปรุงการมองเห็นและการควบคุมโดยรวมขององค์กรเอง แต่เดี๋ยวแอดมินจะขอยกประโยชน์ของโซลูชัน DLP มา 4 ข้อ ดังนี้ค่ะ  

1. จัดประเภทและตรวจสอบข้อมูลที่ละเอียดอ่อน (Classify and monitor sensitive data): โซลูชัน DLP ช่วยให้องค์กรของคุณมีการจัดประเภทข้อมูลที่เป็นระบบมากยิ่งขึ้น และสามารถจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ให้อยู่ภายในนโยบายความปลอดภัยของขององค์กรได้อย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น  

2. การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ (Maintain regulatory compliance): การใช้ DLP ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่น กฎหมายความเป็นส่วนตัว (Privacy Laws) หรือการปฏิบัติตามข้อบังคับทางด้านความปลอดภัยข้อมูล (Data Security Regulations) ได้อย่างเหมาะสมอีกด้วยค่ะ  

3. ปรับปรุงการมองเห็นและการควบคุม (Improve visibility and control): โซลูชัน DLP ช่วยให้องค์กรของคุณมองเห็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนภายในองค์กรได้ และช่วยให้องค์ของคุณเห็นว่าใครบ้างที่อาจส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับผู้ใช้ที่ไม่ได้รับอนุญาต ทำให้องค์กรของคุณสามารถกำหนดขอบเขตของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมหรือวิเคราะห์นโยบายความปลอดภัยของข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ  

4. ป้องกันการสูญเสียทางธุรกิจ (Preventing Business Loss): DLP ช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูลทางธุรกิจ เช่น ความลับทางธุรกิจ ข้อมูลลูกค้า หรือข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการและความเชื่อถือของลูกค้า 

โซลูชัน DLP และการตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูล 

โดยทั่วไปแล้ว ข้อมูลที่ DLP จะตรวจสอบ มีทั้งหมด 3 สถานะดังนี้ค่ะ  

รูปภาพจาก : https://www.signority.com/2022/05/30/three-stages-of-data/

  • ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ต้นทาง (Data at Rest): เป็น Data หรือ ข้อมูล ที่ถูกจัดเก็บอยู่ใน Storage ขององค์กรนั่นเองค่ะ เช่น Storage Server, Files Server, Database หรือ ในรูปแบบของ Backup Image เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้อาจเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานได้เช่นกัน ตัวข้อมูลหรือ Data เองนั้นจะต้องมีความพร้อมในการใช้งานของข้อมูล (Availability), ความถูกต้องของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บอยู่บน Server/Storage แต่ละเครื่อง (Data Integrity), และ Confidentiality ที่ว่าด้วยเรื่องของนโยบายของการเข้าถึงข้อมูล โดยจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับ authorized เท่านั้น 
  • ข้อมูลที่อยู่ระหว่างทาง (Data in Transit): เป็น Data หรือ ข้อมูลที่ทำการโอนย้ายข้อมูล (data transfer) ระหว่างอุปกรณ์ หรือ ระหว่างระบบ เช่น การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ความต้องการในส่วนนี้จะเป็นเรื่องของการป้องกันข้อมูลระหว่างการจัดส่ง เช่นการใช้ VPN เพื่อป้องกันการดักขโมยข้อมูลระหว่างทาง ในลักษณะของ Man-in-the-Middle เป็นต้นค่ะ  
  • ข้อมูลที่ถูกใช้งานปลายทาง (Data in Use): เป็นข้อมูลที่ใช้งานอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน บางครั้งเราจะเรียกว่าข้อมูลที่อยู่บน Endpoint ของผู้ใช้งาน ในส่วนนี้จะเป็นเรื่องของการใช้งานของผู้ใช้งาน จะพูดในเรื่องของ Confidentiality และ Integrity คือ ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง และไม่มีการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ การใช้งานข้อมูลในส่วนนี้จะเป็นเรื่องของ Email, Internet และการรับ-ส่งข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ โดยใช้คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน  

การเลือกใช้โซลูชัน DLP สำหรับองค์กรของคุณนั้นแอดมินแนะนำให้คุณผู้อ่านและทางองค์กรทำการค้นคว้าและการวางแผนก่อนการนำโซลูชัน DLP มาปรับใช้ในธุรกิจค่ะ เนื่องจากโซลูชัน DLP นั้นต้องใช้ทั้งเวลาและงบประมาณสมควรในการปกป้องข้อมูล อย่างเช่น ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน, ข้อมูลส่วนบุคคล และชื่อเสียงของทางองค์กรเอง แต่ทั้งนี้ในการปกป้องข้อมูลหรือ Data ภายในองค์กรของคุณให้ปลอดภัย,ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้น ยังมีด้วยกันอีกหลายหลายโซลูชัน การเลือกปรึกษากับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญและให้บริการด้านโซลูชันความปลอดภัย ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้องค์กรของคุณได้โซลูชันที่เหมาะสมกับการทำงานภายในองค์กรของคุณ ทั้งยังสามารถปกป้องข้อมูลภายในองค์กรของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

ติดต่อสอบถาม Netmarks ได้ที่   

Website Contact Us: https://www.netmarks.co.th/contact-us   

E-mail: marketing@netmarks.co.th   

Facebook: Netmarks Thailand   

Line OA: @netmarksth   

Tel: 0-2726-9600  

Similar Posts